ชาวสวน! ข้อควรระวังสำหรับ นักเทรดแบบสวิงเทรด

ชาวสวน! ข้อควรระวังสำหรับ นักเทรดแบบสวิงเทรด

สวิงเทรด (Swing Trade) คืออะไร?

สวิงเทรด (Swing Trade) คือ รูปแบบการเทรดที่มุ่งเน้นการถือสถานะในระยะกลาง โดยอาศัยการวิเคราะห์ทิศทางของกราฟในกรอบเวลาตั้งแต่ 1 ชั่วโมงขึ้นไปจนถึงรายสัปดาห์ เพื่อค้นหาจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้มของราคา และรอรับกำไรจากการแกว่งตัวของราคาเป็นรอบๆ (Swing)

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร, แผนภาพ คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

ลักษณะสำคัญของ Swing Trade ได้แก่

  • กรอบเวลา (Timeframe) ที่ใช้มักเป็น H1, H4, D1 หรือ MN ซึ่งใหญ่กว่าการเทรดระยะสั้น แต่เล็กกว่าการเทรดระยะยาว
  • การถือสถานะหลักจะอยู่ในช่วง 1-5 วัน บางครั้งอาจนานถึง 1-2 สัปดาห์
  • อาศัยการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก ทั้งแนวรับแนวต้าน, เทรนด์ไลน์, รูปแบบกราฟ และอินดิเคเตอร์ต่างๆ
  • มุ่งหวังผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะกลาง ซึ่งมากกว่าการเทรดทำกำไรรายวัน
  • ใช้เงินลงทุนและความเสี่ยงต่อออเดอร์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Scalping หรือ Day Trade

Swing Trade เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรในระยะกลาง โดยไม่จำเป็นต้องจ้องหน้าจอตลอดทั้งวัน แต่ยังคงสามารถปิดสถานะและปรับกลยุทธ์ได้บ่อยกว่าการเทรดระยะยาว อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้วิเคราะห์กราฟและติดตามสถานการณ์ของตลาดได้อย่างละเอียดกว่าการเทรดในกรอบเวลาสั้นๆ แต่ก็ยังมีความยืดหยุ่นกว่าการถือสถานะข้ามคืนหรือข้ามสัปดาห์แบบเทรดระยะยาวนั่นเอง

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ตัวอักษร, ภาพหน้าจอ, ออกแบบ คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

กลยุทธ์การ Swing Trade ที่จะช่วยยกระดับการเทรด

ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือเคลื่อนไหวในกรอบ กลยุทธ์นี้ก็มีความสำคัญอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน เทรดเดอร์ก็ต้องมีวินัยและความอดทนในการรอคอยจังหวะเข้าเทรดที่เหมาะสม รวมถึงต้องบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อความสำเร็จในการเทรดอย่างยั่งยืนในระยะยาว ให้ข้อคิดพิจารณาได้ ดังนี้

1.ติดอยู่ในกล่อง (Stuck In A Box)

  • เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบราคาที่จำกัด มีแนวรับและแนวต้านชัดเจน
  • เข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาที่แนวรับ และขายออกเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปชนแนวต้าน
  • เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ต้องระวังอย่าติดอยู่ในกรอบจนพลาดโอกาสในเทรนด์ใหญ่

2.ขี่คลื่น (Catch The Wave)

  • ใช้ได้ดีในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน
  • ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) 50 วันเป็นตัวช่วยดูทิศทางเทรนด์
  • เข้าซื้อเมื่อราคาทะลุเส้น MA ขึ้นไป แสดงถึงแนวโน้มที่ยังแข็งแกร่ง และขายเมื่อราคาทำจุดสูงสุดของรอบ (Swing High)
  • ต้องเลือกหุ้นที่มีเทรนด์ชัดเจนและแข็งแรงเท่านั้น

3.สวนกระแส (Fade The Move)

  • เป็นกลยุทธ์ที่ท้าทายกระแสตลาด เหมาะใช้เมื่อคาดว่าราคาจะกลับตัว
  • เปิดสถานะขายเมื่อราคาพุ่งชนแนวต้านแรงๆ และรอซื้อกลับที่จุดต่ำถัดไป (Swing Low)
  • มีความเสี่ยงสูงกว่ากลยุทธ์อื่น เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และอ่านทิศทางตลาดได้แม่นยำ

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, แผนภาพ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

เหตุผลที่ควรใช้กลยุทธ์ Swing Trading ในการเทรดให้ได้กำไร

กรอบเวลา (Timeframe) ที่เหมาะสม

  • Swing Trading เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ไม่ต้องการเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาเหมือนการเทรดระยะสั้น
  • ใช้เวลาในการวิเคราะห์กราฟและคำนวณน้อยกว่า แต่มีเวลาตัดสินใจมากขึ้น เมื่อเทียบกับ Scalping
  • โดยทั่วไปจะเทรดใน Timeframe 4 ชั่วโมง, รายวัน หรือรายสัปดาห์

สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มระยะยาว

  • นอกจากอาศัยความผันผวนระยะสั้นแล้ว ยังสามารถเทรดตามเทรนด์ระยะยาวได้
  • ลดผลกระทบจากสัญญาณรบกวนหรือสัญญาณหลอกที่มักเกิดในการเทรดระยะสั้น

มีต้นทุนในการเทรดต่ำ

  • แม้จะถือออเดอร์นานกว่า แต่จำนวนออเดอร์ที่เปิดน้อยกว่าทำให้เสียค่าสเปรดไม่บ่อย
  • เมื่อเทียบกับกำไรที่ได้แล้ว ถือว่ายังคุ้มค่าเมื่อเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ

สามารถใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ได้หลากหลาย

  • เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการใช้อินดิเคเตอร์ที่หลากหลายและใช้งานง่าย
  • การวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้นมักให้ความแม่นยำมากกว่า

โอกาสทำกำไรจากความผันผวนของราคา

  • ยิ่งตลาดมีความผันผวนมาก โอกาสทำกำไรของนัก Swing Trade ก็ยิ่งสูงขึ้น
  • สามารถใช้เครื่องมือประเภท Oscillator เพื่อหาสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคาได้ดีกว่าการเทรดรายวัน

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร, จำนวน คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

ข้อควรระวังสำหรับ นักเทรดแบบสวิงเทรด

ความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน (Overnight Risk)

  • การถือสถานะเป็นระยะเวลานานข้ามคืนทำให้มีโอกาสเผชิญกับความผันผวนของราคาที่เกิดจากปัจจัยที่ไม่คาดคิดระหว่างที่ตลาดปิด เช่น การประกาศข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเมืองหรือภัยพิบัติต่างๆ
  • อาจส่งผลให้ราคาเปิดตลาดมีช่องว่างราคา (Gap) และเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำกำไรหรือจำกัดการขาดทุนได้ทัน จึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและปรับแผนตามความเหมาะสม

ค่าสวอปหรือดอกเบี้ยข้ามคืน (Swap or Rollover Fee)

  • การถือสถานะเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากดอกเบี้ยข้ามคืนหรือที่เรียกว่าค่าสวอป
  • อาจกระทบต่อกำไรโดยรวมได้มากหากค่าสวอปสูงและราคาเคลื่อนไหวช้าหรือไม่เป็นไปตามคาด ดังนั้นจึงควรคำนวณต้นทุนค่าสวอปให้ดีและเลือกคู่สกุลเงินที่มีค่าสวอปต่ำหรือได้เปรียบ (Positive Swap)

ความผิดพลาดจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • นักสวิงเทรดมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจเปิดหรือปิดสถานะ ทั้งการใช้แนวรับแนวต้าน, เส้นเทรนด์, รูปแบบกราฟ หรืออินดิเคเตอร์ต่างๆ
  • หากอ่านสัญญาณผิดพลาดหรือใช้ตัวชี้วัดที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะตลาดขณะนั้น ก็อาจทำให้พลาดจังหวะในการเข้าเทรด, ถือสถานะในทิศทางที่ผิด หรือตัดขาดทุนออกช้าเกินไปจนเสียหายมากกว่าที่ควร
  • จึงต้องศึกษาและฝึกฝนการใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างเข้าใจลึกซึ้ง รวมถึงยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

ผลกระทบจากปัจจัยพื้นฐานและข่าวสารสำคัญ

  • แม้ว่าสวิงเทรดจะเน้นวิเคราะห์ด้านเทคนิคเป็นหลัก แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ก็ยังสามารถส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มของราคาในระยะกลางได้เช่นกัน
  • หากละเลยที่จะติดตามข่าวสารหรือประเมินผลกระทบต่อคู่สกุลเงินที่เทรดไว้ได้ไม่ดีพอ ก็อาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดและตัดสินใจไม่ถูกต้องได้
  • ควรใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปกับทางเทคนิคเสมอ

การขาดวินัยและความอดทนในการรอคอย

  • การถือสถานะเป็นเวลานานนับวันหรือนับสัปดาห์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเทรดเดอร์บางคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยชินกับการเปิดปิดสถานะอย่างรวดเร็วในแต่ละวันแบบเดย์เทรดหรือสแกลปิ้ง
  • เมื่อต้องรอคอยการวิ่งของราคาเป็นเวลานานอาจรู้สึกเครียด, เบื่อหน่าย, ใจร้อน หรือไม่มั่นใจ จนอาจตัดสินใจปิดออเดอร์ก่อนกำหนดหรือเปลี่ยนกลยุทธ์บ่อยเกินไปจนเสียโอกาสในการทำกำไร
  • จำเป็นต้องสร้างวินัยและความอดทนให้กับตัวเองอย่างมาก

การประเมินความเสี่ยงและจัดการเงินทุนที่ไม่เหมาะสม

  • นักสวิงเทรดส่วนใหญ่มักใช้ Stop Loss ที่ตั้งไว้ค่อนข้างห่างเพื่อให้ราคามีช่วงห่างพอในการแกว่งตัวและแสดงทิศทางที่ชัดเจน
  • แต่หากคำนวณขนาดลอตที่เปิดไม่สอดคล้องกับเงินทุนที่มี โดยใช้มูลค่าต่อหน่วยสูงเกินไป ก็อาจทำให้มีความเสี่ยงและอัตราขาดทุนต่อออเดอร์ที่สูงมาก
  • นอกจากนี้ การทำกำไรได้ดีแบบทบต้นติดต่อกันหลายครั้งอาจทำให้นักเทรดเกิดความมั่นใจมากเกินไป จนลืมคำนึงถึงอัตราเงินทุนต่อความเสี่ยงโดยรวม (Risk to Reward Ratio) และเงินทุนสำรองที่เหลือ ซึ่งอันตรายต่อพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, แผนภาพ, พล็อต คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

สรุป

สรุปแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับนักสวิงเทรดคือต้องมีการวางแผนที่ดีตั้งแต่การวิเคราะห์หาโอกาสเข้าเทรด, การกำหนดจุดเปิดและปิดสถานะ, การบริหารความเสี่ยงและจัดสรรเงินลงทุน ไปจนถึงการควบคุมวินัยและอารมณ์ของตัวเองให้ได้ตลอดช่วงที่ถือสถานะ พร้อมทั้งยังต้องติดตามข่าวสารสำคัญและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ความระมัดระวัง รอบคอบ และยืดหยุ่นปรับตัวจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จสำหรับการเทรดระยะกลางเช่นนี้

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *